จีนกลายเป็นคู่แข่งที่จริงจังน่าวิตกไปแล้ว ในเรื่องเทคโนโลยีพื้นฐานทั้งหลายของศตวรรษที่ 21 ซึ่งได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์, 5จี, วิทยาการข้อมูลข่าวสารควอนตัม, เซมิคอนดักเตอร์, เทคโนโลยีชีวภาพ, และ พลังงานสีเขียว โดยที่ “ในการแข่งขันบางด้าน พวกเขากลายเป็นอันดับ 1 เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในด้านอื่นๆ เมื่อดูจากเส้นทางโคจรในปัจจุบัน จีนก็จะแซงหน้าสหรัฐฯได้ภายในทศวรรษหน้า” รายงานฉบับใหม่ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุ
ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เกรแฮม แอลลิสัน (Graham Allison) และอดีตซีอีโอของกูเกิล อีริค ชมิดต์ (Eric Schmidt) เตือนว่า จีนน่าจะกลายเป็นผู้นำของโลกในเทคโนโลยีด้านต่างๆ ที่เป็นตัวตัดสินชี้ขาดอนาคต พวกเขาเสนอเอาไว้เช่นนี้ในรายงานฉบับใหม่ที่ส่งให้แก่ ศูนย์กลางเบลเฟอร์ (Belfer Center) ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.belfercenter.org/sites/default/files/GreatTechRivalry_ChinavsUS_211207.pdf)
ผู้เขียนรายงานทั้งสองเตือนว่า “จีนกลายเป็นคู่แข่งที่จริงจังน่าวิตกไปแล้ว ในเรื่องเทคโนโลยีพื้นฐานทั้งหลายของศตวรรษที่ 21 ซึ่งได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence หรือ AI), 5จี, วิทยาการข้อมูลข่าวสารควอนตัม (quantum information science หรือ QIS), เซมิคอนดักเตอร์, เทคโนโลยีชีวภาพ, และ พลังงานสีเขียว
“ในการแข่งขันบางด้าน พวกเขากลายเป็นอันดับ 1 เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในด้านอื่นๆ เมื่อดูจากเส้นทางโคจรในปัจจุบัน จีนก็จะแซงหน้าสหรัฐฯได้ภายในทศวรรษหน้า”
รายงานชิ้นนี้ปรากฏออกมา ในฐานะเป็นผลพวงของ “โครงการเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามระหว่างมหาอำนาจยิ่งใหญ่” (Avoiding Great Power War Project) โดยที่เมื่อปี 2018 แอลลิสันได้ผลักดันเสริมต่อทฤษฎีแนวความคิดเรื่อง “กับดักทิวซิดิดีส” (Thucydides Trap) ที่เขาเสนอเอาไว้ ซึ่งมีเนื้อหาสาระเป็นการย้ำเตือนว่า การที่มหาอำนาจซึ่งกำลังก้าวผงาดขึ้นมาใหม่ ท้าทายมหาอำนาจเดิมที่ปักหลักมั่นคงอยู่เดิมแล้วนั้น บ่อยครั้งทีเดียวในประวัติศาสตร์ มันจะนำไปสู่สงคราม
รายงานความยาว 50 หน้าฉบับนี้ เป็นการสรุปพวกเอกสารตลอดจนวัสดุที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชนอยู่แล้ว และไม่ได้มีการเปิดเผยสิ่งใหม่ๆ น่าตื่นตาตื่นใจใดๆ ผมเองได้รายงานเนื้อหาเหล่านี้เกือบทั้งหมดเอาไว้แล้วในหนังสือตีพิมพ์เมื่อปี 2020 ของผม เรื่อง You Will Be Assimilated: China’s Plan to Sino-Form the World
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.amazon.com/You-Will-Be-Assimilated-Sino-form/dp/1642935409/ref=sr_1_2?crid=BX6II3ZV4AN0&keywords=you+will+be+assimilated+china%2527s+plan+to+sino-form+the+world&qid=1639009000&sprefix=you+will+be+assim%252Caps%252C268&sr=8-2)
ทว่าน้ำหนักของเอกสารซึ่งพวกเขารวบรวมมานั้นต้องถือว่าน่าประทับใจ พวกเขาสรุปรายงานชิ้นนี้ด้วยการอ้างอิงข้อความจากรายงานเมื่อปี 2020 ของบัณฑิตยสภาศิลปะและวิทยาศาสตร์อเมริกัน (American Academy of Arts and Sciences) ที่บอกว่า “พิจารณาจากขนาดขอบเขตอันมหึมาตลอดจนอัตราความก้าวหน้าของเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งของจีน สหรัฐฯจะพบว่าการพลิกตัวไต่ขึ้นมาใหม่จากการไหลรูดลงต่ำของตนเองนั้น จะเป็นเรื่องที่ทำได้ด้วยความยากลำบากมาก … ถ้าหากเราละเลยเพิกเฉยประเด็นปัญหานี้ ความตกต่ำในชีวิตความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจของพลเมืองของเรา ตลอดจนในความสามารถของเราที่จะส่งอิทธิพลต่อกิจการต่างๆ ของโลก ก็จะเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
สิ่งที่ถูกชี้ออกมาให้เห็นเป็นพิเศษ ได้แก่การที่รายงานฉบับนี้เสนอการถกเถียงอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องบรอดแบนด์ 5จี และผลกระทบอันกว้างขวางของมันที่เรียกได้ว่าไปถึงทุกๆ ด้านทุกๆ มิติของชีวิตทางเศรษฐกิจ “ขณะที่ในยุค 4จี เราเห็น ไอโฟนของแอปเปิล, แอนดรอยด์โอเอส ของกูเกิล, และ โฮโลเลนซ์ของ ไมโครซอฟท์ ทำหน้าที่เชื่อมต่อยูสเซอร์เข้ากับระบบนิเวศน์เทค ทว่าสำหรับ 5จี มันทำท่าว่าจะถูกครอบงำโดยเครือข่ายหัวเว่ยซึ่งเสนอการต่อเชื่อมในทุกหนทุกแห่ง ให้แก่เครื่องสมาร์ตโฟนของ เสี่ยวมี่, โซลูชั่นนครอัจฉริยะของ เทนเซนต์, และ โรโบแท็กซี่ (robotaxis) ของ ไป่ตู้”
เมื่อพูดเรื่องจุดที่ได้เปรียบของฝ่ายอเมริกัน ปรากฏว่า แอลลิสันและชมิดต์ ให้ข้อมูลในทางร้ายๆ เอาไว้หลายประการ จุดสำคัญๆ ในรายงานของพวกเขามีดังเช่น:
**การเปิดตัวโครงสร้างพื้นฐาน 5จี ของอเมริกา เกิดขึ้นตามหลังจีนหลายๆ ปี จึงกลายเป็นการมอบความได้เปรียบให้แก่จีนในฐานะเป็นผู้เริ่มเคลื่อนไหวคนแรก ในเรื่องการพัฒนาแพลตฟอร์มต่างๆ สำหรับยุค 5จี … ทีมยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ (Economic Strategy Team) ของ ควอลคอมม์ (Qualcomm) ประมาณการเอาไว้ว่า ในช่วงเวลา 15 ปีต่อจากนี้ไป 5จี จะ “เพิ่มเศรษฐกิจขนาดเท่ากับอินเดีย” ให้แก่โลก โดยที่ส่วนแบ่งสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจนี้อยู่ในเส้นทางที่จะตกเป็นของจีน
**สำหรับการสื่อสารระบบควอนตัม (quantum communication) นั้น จีนเลยหน้าสหรัฐฯไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งในเรื่องควอนตัมคอมพิวติ้ง (quantum computing) ก็ไล่กวดจนช่วงห่างในการนำของอเมริกาหดแคบลงอย่างรวดเร็ว
**ทางด้าน เอไอ การพุ่งพรวดขึ้นมาของจีนเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังๆ เอามากๆ จนใครก็ตามที่ไม่ได้คอยเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดน่าจะพลาดพลั้งมองไม่เห็น แท้จริงแล้วในการแข่งขันหลายๆ อย่างที่ผ่านมา จีนแซงหน้าสหรัฐฯและกลายเป็นหมายเลข 1 ของโลกอย่างไม่อาจโต้เถียงคัดค้านได้ไปเรียบร้อยแล้ว เวลานี้พวกผู้บริโภคมีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เอไอในตลาดกันอย่างไร ย่อมเป็นหลักฐานอันหนักแน่นในตัวมันเองอยู่แล้ว โดยที่ปรากฏว่าในเรื่องเทคโนโลยีเสียงพูด (speech technology) พวกบริษัทจีนกำลังชนะบริษัทอเมริกันในทุกๆ ภาษา รวมทั้งภาษาอังกฤษด้วย
**ในแต่ละปีเวลานี้จีนมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาด้านสะเต็มศึกษา (STEM ย่อมาจาก Science วิทยาศาสตร์, Technology เทคโนโลยี, Engineering วิศวกรรม, Mathematics คณิตศาสตร์) มากกว่า 4 เท่าตัวของสหรัฐฯ รวมทั้งอยู่ในเส้นทางที่จะมีผู้จบปริญญาเอกด้านสะเต็มศึกษา มากเป็น 2 เท่าตัวของสหรัฐฯภายในปี 2025
**ถึงแม้คณะบริหารทรัมป์ใช้ความพยายามเพื่อ “ฆ่าหัวเว่ย” อย่างที่อดีตเจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯผู้หนึ่งได้พูดเอาไว้ แต่เมื่อปีที่แล้วยักษ์ใหญ่เทคจีนรายนี้ยังคงจัดสร้างสถานีฐาน 5จี ในจีนเป็นจำนวนมากกว่า 300,000 แห่ง
**ศักยภาพของจีนในการกลายเป็นผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์เป็นเรื่องที่ไม่สามารถดูเบาได้อีกต่อไปแล้ว และเมื่อดูจากเส้นทางโคจรในปัจจุบัน ประธานาธิบดีสี น่าที่จะทำได้สำเร็จมากกว่าจะทำไม่สำเร็จ ในการบรรลุเป้าหมายของเขาที่จะให้จีนกลายเป็นเพลเยอร์ระดับท็อปรายหนึ่งในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายในปี 2030
**ความได้เปรียบที่มีอยู่ในทุกๆ จุดเชื่อมต่อของห่วงโซ่อุปทานพลังงานสีเขียว ทำให้จีนอยู่ในฐานะที่จะกลายเป็นผู้นำระดับโลกในด้านพลังงานสีเขียวได้ในอนาคตอันใกล้นี้
**เนื่องจากทรัพย์สินสำคัญอย่างหนึ่งในการนำเอา เอไอ มาใช้อย่างได้ผล คือ ปริมาณของข้อมูลที่มีคุณภาพ ดังนั้น จีนจึงกำลังกลายเป็น ซาอุดีอาระเบีย แห่งศตวรรษที่ 21 จากการมีสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีมูลค่ามากที่สุดนี้อยู่ในความครอบครอง
น่าสังเกตว่า แอลลิสัน และ ชมิดต์ ยอมรับว่า การสร้างเครือข่าย 5จี ขึ้นมาด้วยวิธีสร้างเครือข่าย Open Radio Access Networks (O-RAN) ซึ่งเน้นน้ำหนักความสำคัญไปที่ซอฟต์แวร์ อีกทั้งมีการคุยโอ่กันมากว่าจะเป็นทางเลือกแบบ “ซอฟต์แวร์กินฮาร์ดแวร์” ซึ่งสามารถใช้สู้กับ 5จี ของหัวเว่ยที่เน้นฮาร์ดแวร์ได้นั้น เอาเข้าจริงแล้วจะไม่สามารถกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ลงแข่งขันกับของหัวเว่ยได้อย่างทันการณ์จริงๆ หรอก
“เครือข่าย 5จี ที่ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางโดยมีสมรรถนะต่างๆ ทางด้าน 5จี ของจริงของแท้ด้วยนั้น ยังคงจะต้องใช้เวลาอีก 1 ถึง 2 ปีสำหรับในสหรัฐฯ ขณะที่การยอมรับพวกโซลูชั่นที่เป็นการเสนอทางเลือกโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ อย่างเช่น ORAN (ซึ่งมีบางคนเสนอแนะให้ถือว่ามันเป็นคำตอบของอเมริกาในการตอบโต้การท้าทายของหัวเว่ย) มาพัฒนาจนกระทั่งกลายเป็นกระแสหลักขึ้นมาได้นั้น จะล่าช้าเกินไปเสียแล้วสำหรับการนำเอา 5จี ออกมาใช้งานของสหรัฐฯ” ทั้งคู่เขียนเอาไว้เช่นนี้
เฮนรี เครสเซล (Henry Kressel) นักฟิสิกส์ผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นนักลงทุนด้านเวนเจอร์แคปิตอลด้วย เคยกล่าวเตือนเอาไว้ในบทวิจารณ์หลายชิ้นที่เขียนให้แก่เอเชียไทมส์ว่า O-RAN จะต้องใช้เวลาในการพัฒนานานเกินไป, เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินไป, รวมทั้งก่อให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงปลอดภัยมากเกินไป จนเกินกว่าที่จะท้าทายแข่งขันกับพวกผู้ผลิตที่กิจการของพวกเขามีการบูรณาการกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว อย่าง หัวเว่ย และ อีริคสัน
(ดูเพิ่มเติมข้อเขียนของ เครสเซล ได้ที่ https://asiatimes.com/2020/12/opening-the-telecom-equipment-market-wont-be-easy/)
แหล่งที่มา : https://mgronline.com/around/detail/9640000122521
More Stories
ร้าน ‘เสื้อผ้า’ สุดล้ำอัจฉริยะ ลองได้เสมือนจริง!
เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Huawei ‘Arcfox Alpha-S’ เริ่มต้น 2 ล้านบาท!
อุตสาหกรรม ‘อวกาศ’ โลกเติบโตขึ้นกว่า 70%
‘อิตาลี’ เปิดตัว ‘โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด’ คาร์บอนหมุนเวียนลดต้นทุน
‘มาม่า X Bitkub’ ลุยเปิดตัว NFT MAMA!